filler

วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

เตือนสาวอยากสวย! ฉีดฟิลเลอร์อันตรายถึงชีวิต-เสริมดั้งโด่งเสี่ยงตาบอดจมูกเน่า!!!!


เมื่อวันที่ 25 กันยายน ที่สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย พล.ต.นพ.กฤษฎา ดวงอุไร นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังประเทศไทย แถลงข่าว เรื่อง “อันตรายจากการฉีดสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์” ว่า จากกรณีการเข้ารับบริการฉีดสารเติมเต็ม หรือฟิลเลอร์ แล้วเกิดอาการแทรกซ้อน พบว่ามีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งอาการไม่รุนแรง จนถึงรุนแรงมาก เช่น เขียวช้ำ เป็นจ้ำเลือด บวม หน้าไม่เท่ากัน จนถึงรุนแรงขั้น ผิวหนังตาย ตามองไม่เห็น หรือถึงขั้นเสียชีวิต การรับบริการจึงต้องศึกษาหาข้อมูล ทั้งสถานที่ที่จะรับบริการ สารที่แพทย์จะฉีดให้ และตัวแพทย์ที่ฉีดด้วย และแม้ว่าสารที่ฉีดได้มาตรฐานผ่านการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ใช้เครื่องมืออุปกรณ์การฉีดที่ได้มาตรฐาน แต่ผู้ที่ฉีดขาดความชำนาญ และสถานที่ฉีดไม่ได้รับการรับรอง ไม่มีเครื่องมือ อุปกรณ์ช่วยเหลือกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินก็ถือว่าเสี่ยงทั้งสิ้น 

ผศ.นพ.ถนอม บรรณประเสริฐ หัวหน้าหน่วยศัลยศาสตร์ตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้าภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เทคนิคฟิลเลอร์เป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะเป็นวิธีที่ง่าย คือ ใช้การฉีด เหมือนการฉีดยาเท่านั้น แต่พบว่าวิธีฟิลเลอร์เพื่อสร้างเป็นดั้งจมูก มีภาวะแทรกซ้อน คือ ทำให้เกิดตาบอด ซึ่งพบผู้เกิดภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวแล้ว 5-10 ราย เพราะบริเวณจมูกมีเส้นเลือดแขนงจำนวนมากที่เชื่อมต่อกับระบบหลอดเลือดของประสาทตา และสมองโดยตรง โดยปกติการฉีดสารจะต้องฉีดเข้าไปใต้ระหว่างผิวหนัง หากพลาดและสารเข้าไปที่หลอดเลือดที่ไปที่ดวงตา แม้เพียง 0.4-0.5 ซีซี ก็จะทำให้ตาบอดภายในไม่กี่นาที ถือเป็นความสูญเสียถาวร นอกจากนี้ ยังพบว่า หากสารเข้าไปที่หลอดเลือดที่ไปยังสมองอาจก่อให้เกิดอาการอัมพาตได้ด้วย แต่พบได้น้อยกว่าภาวะตาบอด

“ปัจจุบันยังพบการฉีดฟิลเลอร์ด้วยสารโพลีอะคริลามายด์ (polyacrylamide) มักโฆษณาว่า อยู่ได้ 2-3 ปี สลายตัวช้า แต่ความจริงสารดังกล่าวไม่สลายตัว และ อย.สหรัฐอเมริกา ถอนการรับรอง เพราะพบว่าทำให้เกิดมะเร็งเต้านมด้วย โดยพบว่าประชาชนนิยมไปฉีดหน้าอก สะโพก ในปริมาณสูงมากเป็นพันซีซี จึงขอเตือนว่า หากเกิดสารรั่วไหลเข้าเส้นเลือดจะเกิดอันตรายอย่างยิ่ง โดยหากหลุดเข้าไปที่ปอดจะทำให้ปอดอุดกั้นและขาดอากาศหายใจทันที หรือหากอุดบริเวณเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงขา ก็จะทำให้ขาเน่าได้ ซึ่งกรณี พริตตี้ คาดว่าสารน่าจะเข้าไปในหลอดเลือดดำ และย้อนกลับไปยังปอด ทำให้คนไข้ขาดออกซิเจน และหยุดหายใจ”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น